วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเมือง !


วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553 เป็นชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต่อต้านและสนับ สนุนอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ[1][2][3] เสถียรภาพทางการเมืองในไทย[4] รวมทั้งยังสะท้อนภาพความไม่เสมอภาคและความแตกแยกระหว่างชาวเมืองและชาวชนบท[5] การละเมิดอำนาจ[6] และผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งได้บั่นทอนการเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน

ในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซึ่งมีความเห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ควรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล "มิตรเก่าศัตรูใหม่" จนกระทั่งลงเอยด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร ส่งผลให้ฝ่ายทหาร นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก้าวขึ้นสู่อำนาจและเข้ามามีบทบาททางการเมือง ส่งผลให้ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2549-2550

ต่อมา ผลการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 พรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกมองว่าเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคยดำเนินการเคลื่อนไหวก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร กลับมาชุมนุมอีกครั้ง เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่ง ก่อนจะสลายการชุมนุมเมื่อมีการยุบพรรคพลังประชาชน

การเมืองพลิกขั้ว เมื่อผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ธันวาคม พ.ศ. 2551 ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาลทักษิณ สมัครและสมชาย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติดำเนินการชุมนุมเพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะยุติ



การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของทักษิณ ชินวัตร

ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถูกนักวิชาการบางกลุ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ภายใต้ "ระบอบทักษิณ" คือ ไม่ใส่ใจต่อเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการฉ้อราษฎร์บังหลวง[7] นอกจากนี้ยังไม่สามารถควบคุมความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งคำว่า "ระบอบทักษิณ" นี้เองที่สร้างความชอบธรรมในการขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประชาชนบางกลุ่ม

ความขัดแย้งสนธิ-ทักษิณ และกรณีเมืองไทยรายสัปดาห์

ความสัมพันธ์ระหว่างสนธิ-ทักษิณ "มีความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังกันมานาน" ทั้งเคยเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจร่วมกัน และนายสนธิยังเคยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรกอีกด้วย[8] ก่อนที่นายสนธิจะหันมาโจมตี "เพื่อนเก่า" จากการเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจ[9] ความขัดแย้งดังกล่าวได้ขยายตัวขึ้นเมื่อช่องโทรทัศน์ 11/1 ของนายสนธิถูกสั่งยุติการออกอากาศชั่วคราว จากการพิพาทในหนังสือสัญญากับผู้วางระเบียบของรัฐบาล[10][11]

กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ฝ่ายบริหารของอสมท. มีมติให้ระงับการออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีอย่างไม่มีกำหนด[12][13] เนื่องจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ ได้อ่านบทความเรื่อง "ลูกแกะหลงทาง" ซึ่งมีเนื้อหาโดยอ้อมกล่าวหารัฐบาลทักษิณและเชื่อมโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง นายสนธิจึงเปลี่ยนเป็นการจัดรายการนอกสถานที่แทน และเป็นช่วงเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรฯ ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก[14]

กรณี "การละเมิดพระราชอำนจ"

ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2548 หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ได้ตีพิมพ์การเทศนาของหลวงตามหาบัว มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างหนัก และมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีการใช้อำนาจ "...มุ่งหน้าต่อประธานาธิบดีชัดเจนแล้วเดี๋ยวนี้ พระมหากษัตริย์เหยียบลง ศาสนาเหยียบลง ชาติเหยียบลง..."[15] ทำให้เกิดหัวข้อโต้เถียงกันเป็นวงกว้าง ต่อมา วันที่ 11 ตุลาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ฟ้องหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ เป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท[16] แต่ก็ได้มีการถอนฟ้องหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสแนะนำโดยอ้อมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

การทำบุญที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2548

และนับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้เขียนบทความกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีละเมิดอำนาจของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากการเป็นประธานในพิธีการทำบุญที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 10 เมษายน (ซึ่งโดยปกติสงวนไว้เป็นพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์)

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ออกมาชี้แจงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานในพิธีแล้ว[17] เช่นเดียวกับนายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในขณะนั้น ได้สนับสนุนและอ้างว่าสำนักพระราชวังออกแบบพิธีทั้งหมด รวมทั้งการจัดตำแหน่งเก้าอี้ด้วย[18] อย่างไรก็ตาม ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้ระบุว่า ในวันดังกล่าวไม่มีพระบรมราชานุญาติให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานในพิธีแต่อย่างใด[19]

ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ศาลแพ่งมีคำสั่งให้นายสนธิหยุดการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่ม[20] ในเดือนเดียวกัน พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตราชองครักษ์ ได้ร้องทุกข์ต่อตำรวจในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายวิษณุ เครืองามกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในกรณีการทำบุญดังกล่าว[21] แต่ในภายหลังก็ได้ถอนฟ้อง หลังจากพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวตรัสแนะนำในเหตุการณ์ดังกล่าว


กรณีการขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป

ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นที่ครอบครองอยู่ทั้งหมดในกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 73,000 ล้านบาท[22] หรือกว่า 49.61% ของหุ้นทั้งหมด[23] ทำให้ถูกโจมตีในประเด็นด้านการได้รับการยกเว้นภาษี การปล่อยให้ต่างชาติเข้าบริหารกิจการด้านความมั่นคง รวมทั้งผลประโยชน์ทับซ้อนและการหลีกเลี่ยงภาษีกำไรส่วนทุน[24]

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายดังกล่าว โดยได้ผลสรุปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และบุตรี พินทองทา ชินวัตร ปราศจากความผิด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการได้พบว่าบุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ พานทองแท้ ชินวัตร ละเมิดกฎว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลและข้อเสนอการประมูลสาธารณะในการซื้อขาย ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2545 นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบการโอนภายในโดยผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป แต่ก็ไม่พบการกระทำที่ผิดกฎ

ลำดับเหตุการณ์


การยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549

เย็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549[25] โดยให้เหตุผลว่า มีการใช้วิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตยกดดันให้ตนลาออกจากตำแหน่ง แต่จะให้ประชาชนตัดสินว่าควรจะกลับมาดำรงตำแหน่งหรือไม่[ต้องการอ้างอิง] พรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยและพรรคมหาชน ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์[26] และรณรงค์ให้ผู้ไปใช้สิทธิ์กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน[25] อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพลล์ ระบุว่ามีผู้ไม่เห็นด้วยกับการคว่ำบาตรกว่า 45.21% และเห็นด้วยเพียง 28.05%[27]

กรณีศาลท่านท้าวมหาพรหม

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร

ในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 นายธนกร ภักดีผล ผู้เคยมีประวัติอาการทางจิตและภาวะซึมเศร้า เข้าทำลายรูปปั้นท้าวมหาพรหมใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งในภายหลังได้ถูกชาวบ้านทุบตีจนเสียชีวิต[28] จากเหตุการณ์ดังกล่าว นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้หยิบยกมากล่าวอ้างในการชุมนุมในวันรุ่งขึ้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้บงการให้เกิดการทำลายเทวรูปดังกล่าว และแทนที่เทวรูปพระพรหมด้วย "อำนาจมืด" ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับเขา[29] นายสนธิได้กล่าวอ้างว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ว่าจ้างนายธนกรให้กระทำการดังกล่าวผ่านทางชาแมนมนต์ดำเขมร[30] เนื่องจาก "เป็นผู้หลงใหลอยู่ในความเชื่อที่ผิด" และ "เป็นการปัดเป่าลางร้าย"[31]

บิดาของผู้เสียชีวิต นายสายันต์ ภักดีผล กล่าวว่า นายสนธิเป็น "คนโกหกคำโตที่สุดที่เคยเจอมา"[30] ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ มองว่าการกล่าวอ้างของนายสนธิ "บ้า" และจนถึงปัจจุบัน นายสนธิก็ยังปฏิเสธจะให้ "ข้อมูลเชิงลึก" แก่สาธารณะชนในเรื่องดังกล่าว

การชุมนุมต่อต้านและสนับสนุนทักษิณ

การชุมนุมเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 โดยมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ ตามด้วยการชุมนุมปราศรัยทางการเมือง ก่อนที่จะแพร่หลายขึ้นใน พ.ศ. 2548

แต่แรงกดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่ง เพิ่มขึ้นมากหลังกรณีการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ป โดยมีการประท้วงต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นสูงและนิยมกษัตริย์ ร่วมกับกลุ่มสันติอโศก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว และพนักงานของรัฐวิสาหกิจซึ่งต่อต้านการแปรรูป รวมทั้งสถาบันการศึกษาและปัญญาชน

ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2549 ผู้ชุมนุมกว่า 3,000 คน ภายใต้การนำของนายสนธิ สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ได้ทำการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และสามารถยึดอาคารได้เป็นเวลา 20 นาที ก่อนที่จะกลับมารวมตัวภายนอกและทำการประท้วงต่อไป[32]

การประกาศตัวครั้งแรกของพันธมิตรฯ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

การชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งสื่อไทยบางแห่งจำนวนผู้ชุมนุมไว้ถึง 100,000 คน[33] ในขณะที่การชุมนุมวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีการเปิดตัวกลุ่มพันธมิตรฯ และแกนนำอย่างเป็นทางการ หนังสือพิมพ์ไทยส่วนใหญ่ระบุจำนวนผู้ชุมนุมไว้ราว 30,000-50,000 คน ในขณะที่บีบีซี รอยเตอร์และเอเอฟพี กลับประเมินไว้เพียง 5,000-15,000 คน[34] ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ในการชุมนุมหลายครั้งถัดมาได้มีลักษณะความรุนแรงเพิ่มขึ้น ด้านประธานสำนักงานองค์การนิรโทษกรรมสากลในประเทศไทย ได้กล่าวประณามพฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่รังควานนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง[35]

ในวันที่ 5 มีนาคม ผู้ชุมนุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ในกรุงเทพมหานครหลายหมื่นคนรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจาก ตำแหน่ง พร้อมกับตะโกนว่า "ทักษิณ! ออกไป!"[36][37] ในวันที่ 13 มีนาคม ผู้ชุมนุมได้ย้ายไปยังเต้นท์ถาวรที่แยกสวนมิสกวัน ด้านนอกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้กีดขวางการจราจรและการจัดงานกาชาดประจำปี[38]

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 มีนาคม กลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาชุมนุมที่ท้องสนามหลวงโดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมหาศาล ซึ่งในสื่อไทยระบุไว้ถึง 200,000 คน[39] และสื่อต่างประเทศบางแห่งระบุไว้ราว 150,000 คน และนับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางมาจากภาคเหนือและภาคอีสานในรูปของคาราวานอีแต๋นและชุมนุมกันที่สวนจตุจักร[ต้องการอ้างอิง]

หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งใหม่ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินขบวนไปตามย่านการค้า สถานที่ประกอบธุรกิจและอาคารสำนักงานหลายแห่งต้องปิดทำการ ซึ่งคาดการณ์ว่าก่อให้เกิดความเสียหายถึง 1.2 พันล้านบาท[ต้องการอ้างอิง] และในการชุมนุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ได้ก่อให้เกิดการจราจรติดขัดอย่างหนักในกรุงเทพมหานครและรบกวนการขนส่งของรถไฟฟ้า BTS อีกส่วนหนึ่ง โดยสื่อไทยคาดว่ามีผู้ร่วมชุมนุมราว 50,000 คน แต่สื่อต่างชาติประเมินไว้เพียง 5,000-30,000 คน[40][41] พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และสัดส่วนผู้ที่เห็นด้วยให้นายกรัฐมนตรีลาออก ลดลงจาก 48% เมื่อสามสัปดาห์ก่อน เหลือเพียง 26%[41]

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแทรกแซงการเมือง โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เพื่อยุติความขัด แย้ง เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ สภาทนายความ และสภาสื่อแห่งประเทศไทย[42][43] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสตอบแนวคิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 เมษายน ว่าการกระทำเช่นนั้น "ไม่เป็นประชาธิปไตย" "เป็นความยุ่งเหยิง" และ "ไม่มีเหตุผล"

การเลือกตั้งทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549 และผลที่ตามมา

ซุ้มล่ารายชื่อเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผลการเลือกตั้งอย่าง ไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2549 พบว่าพรรคไทยรักไทยได้รับที่นั่งในรัฐสภาถึง 460 ที่นั่ง ด้วยคะแนนเสียง 56% ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้างว่าเขาได้รับเสียงถึง 16 ล้านเสียง[45] อย่างไรก็ตาม ผู้ลงสมัครพรรคไทยรักไทยใน 38 จังหวัดเลือกตั้งภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนเสียงไม่ถึง 20% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชะลอผลของการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2549[46][47] พรรคประชาธิปัตย์ยื่นฎีกาต่อศาลปกครองกลางให้ยกเลิกการเลือกตั้งซ่อม[48] ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการถ่วงเวลาการเปิดประชุมสภาและขัดขวางมิให้การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จทันกำหนดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ[49] เช่นเดียวกับพันธมิตรฯ ที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า "การชุมนุมจะยังคงมีต่อไปจนกว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่ง ตั้ง"[50]

เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศจัดตั้งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยอิสระเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมกับออกตัวว่า เขายอมลาออก หากคณะกรรมการดังกล่าวมีคำแนะนำเช่นนั้น[51] แต่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เข้าร่วมกับคณะกรรมการดังกล่าว และในวันรุ่งขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาแถลงไม่เข้ารับการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองในชาติ[52] ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ลาราชการและแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งพันธมิตรฯ ได้เฉลิมฉลองในวันที่ 7 เมษายน และประกาศว่าการกำจัดระบอบทักษิณเป็นเป้าหมายต่อไป[49][53]

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสแก่ตุลาการและผู้พิพากษาอาวุโส โดยแสดงพระราชประสงค์ให้มีการดำเนินการทางตุลาการเพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8-6 เสียง ให้เพิกถอนการเลือกตั้งและจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ซึ่งกำหนดไว้เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549[54] ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนยังได้เรียกร้องให้สมาชิกของคณะกรรมการการเลือก ตั้งลาออกจากตำแหน่ง และเมื่อสมาชิกดังกล่าวปฏิเสธ ศาลอาญาจึงได้สั่งจำคุกและปลดคณะกรรมการการเลือกตั้งออกจากตำแหน่ง

"แผนฟินแลนด์" และ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"

ก่อนหน้าพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงหนึ่งวัน หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ ผู้จัดการ ได้ตีพิมพ์บทความส่วนหนึ่งเกี่ยวกับ "แผนฟินแลนด์"[56][57][58] ข้อกล่าวหา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มีแผนสมคบคิดเพื่อโค่นล่มราชวงศ์จักรีและยึดอำนาจการปกครองประเทศ[59][60] พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้ฟ้องต่อนายสนธิ บรรณาธิการ คอลัมนิสต์ และฝ่ายบริหารอีกสองคนในข้อหาหมิ่นประมาท[61]

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนหนึ่งซึ่งพาดพิงถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"[62] จึงทำให้เกิดการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หมายความถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายสนธิจึงกล่าวแก่สาธารณชนให้เลือกว่าจะเข้ากับพระมหากษัตริย์หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ

กรณีคาร์บอมบ์ สิงหาคม พ.ศ. 2549

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 รถคันหนึ่งซึ่งขนวัตถุระเบิดกว่า 67 กิโลกรัมได้หยุดบริเวณใกล้ที่พักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเขตธนบุรี โดยมี ร.ต.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ อดีตคนขับรถส่วนตัวของ พล.ต.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รักษาการผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นพลขับ โดยการสืบสวนของตำรวจพบว่า รถคนดังกล่าวได้ออกจากสำนักงานใหญ่ของ กอ.รมน. เมื่อเช้าวันเดียวกัน[64]

พล.ต.อ.พัลลัภ ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว และกล่าวว่า "ถ้าผมทำ นายกฯ หนีไม่พ้นผมหรอก..."[65][66] และกล่าวอ้างว่า "วัตถุระเบิดอยู่ระหว่างการขนส่ง ไม่ได้เก็บรวบรวมมาจุดระเบิด"[65] ในขณะที่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นแผนสมคบคิดของรัฐบาล[67]

ร.ต.ท.ธวัชชัย ถูกจับกุมตัว และ พล.ต.อ.พัลลภ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในทันที ในภายหลังได้มีการจับกุมนายทหารเพิ่มอีก 5 นาย เนื่องจากสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง[68] แต่นายทหารสามนาย รวมทั้ง ร.ต.ท.ธวัชชัย ถูกปล่อยตัว ภายหลังการก่อรัฐประหารในเดือนกันยายน

เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และสถานการณ์การเมืองสมัยรัฐบาลทหาร

ผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมกันแถลงการณ์ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย

คืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินได้รัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลทักษิณ โดยได้แถลงเหตุผลของรัฐประหารไว้ใน "สมุดปกขาว"[70] สองวันถัดมา กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศยุติการชุมนุมและประกาศว่าภารกิจสำเร็จแล้ว[71]

ภายหลังการก่อรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปยังกรุงลอนดอน ซึ่งทางด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ได้ออกมาเตือนว่าการกลับประเทศของเขาอาจถูกมองว่าเป็น "ภัยคุกคาม" ด้วยเกรงว่าผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านอาจมีการปะทะกันในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ[72]

คณะรัฐประหารยังได้มีการจับกุมนักการเมืองรัฐบาลทักษิณหลายคน คือ พล.ต.อ.ชิตชัย วรรณสถิตย์, นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูกคุมขังยังกองบัญชาการทหารบก[73] นอกจากนี้ ยังได้มีคำสั่งเรียกตัวนายยงยุทธ ติยะไพรัชและนายเนวิน ชิดชอบ[74] ซึ่งทั้งสองได้เข้ารายงานตัวเมื่อวันที่ 21 กันยายน[75][76] และถูกควบคุมตัวไว้ ก่อนที่ทั้งหมด ยกเว้นนายสมชาย จะได้รับการปล่อยตัวภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว[77] เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2549

หลังจากนั้น คณะรัฐประหารเริ่มการสอบสวนข้าราชการซึ่งถูกแต่งตั้งในสมัยรัฐบาลทักษิณ และในการแต่งตั้งนายทหารประจำปี พ.ศ. 2550 นายทหารซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของระบอบใหม่ก็ถูกแต่งตั้งแทนที่นายทหารซึ่ง ภักดีต่อรัฐบาลเก่า[78][79] และเมื่อวันที่ 20 กันยายน คณะรัฐประหารได้ประกาศว่าศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่นซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับเก่าจะต้องถูกยกเลิกทั้งหมด[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ตาม สถานะของจารุวรรณ เมณฑกายังคงไม่เปลี่ยนแปลง[80] และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดินเพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาความไม่ชอบมาพากล[81] รวมทั้งมีตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบรัฐบาลเก่า คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ[82]

ในระหว่างนี้ ยังได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใช้ปกครองประเทศต่อไป โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จนเสร็จ และได้ให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผู้เห็นชอบคิดเป็นสัดส่วน 57.81% ของผู้มาใช้สิทธิ[83] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม

การดื้อแพ่งสมัยรัฐบาลสมัคร

จากผลการเลือกตั้งเมื่อ วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พบว่าพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกมากที่สุด คือ 233 ที่นั่ง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้อันดับรองลงมา คือ 165 ที่นั่ง นายสมัคร สุนทรเวชเริ่มวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551 และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ แต่ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นรัฐบาลตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันควัน[84] ฝ่ายพันธมิตรฯเองก็เริ่มมองว่ารัฐบาลสมัครมีพฤติการณ์ที่ส่อถึงความทุจริตหลายอย่าง เช่น การยกปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว[85] และความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ[14]

กลุ่มพันธมิตรฯ ได้กลับมาชุมนุมอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา[86] ต่อมา กลุ่มพันธมิตรได้ทำการ "ดาวกระจาย" ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทวงถามการตรวจสอบทุจริตในรัฐบาลทักษิณ[87] รวมทั้งเร่งรัดคดีการทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช[88] และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุม 9 เส้นทางเพื่อยึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะย้ายกลับไปยังสะพานมัฆวานรังสรรค์ หลังจากมีคำสั่งของศาลแพ่งให้เปิดเส้นทาง[89]

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หลังการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ก่อนที่ กลุ่มพันธมิตรฯ จะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม[90] ในวันต่อมา แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ 9 คน ถูกแจ้งความในความผิดข้อหากบฎ และได้มีการปะทะกับกลุ่ม นปช. ซึ่งมีการชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่าย จนมีผู้เสียชีวิต 1 คน นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช จึงประกาศการสถานการณ์ฉุกเฉินในวันเดียวกัน[91][92] จนกระทั่งยกเลิกเมื่อวันที่ 14 กันยายน[93]

การดื้อแพ่งสมัยรัฐบาลสมชาย

เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในคดีจัดรายการ ชิมไปบ่นไป และ ยกโขยง 6 โมงเช้า ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติต้องห้าม[94] ต่อมา ได้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผลปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ได้รับเลือก และได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรก เมื่อวันที่ 24 กันยายน

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชุมนนุมหน้าอาคารรัฐสภา เพื่อกดดันมิให้คณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจจึงได้เข้าสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางเข้าออกอาคารทั้งก่อนและหลังการ ประชุม จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีผู้เสียชีวิต 1[95]-2 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คน[96]

ปลายเดือนพฤศจิกายนและต้นเดือนธันวาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ได้บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ[97] จนมีผู้โดยสารตกค้าง[98] และสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของไทยเป็นอย่างมาก การชุมนุมดังกล่าวดำเนินไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม[99] ภายหลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบ[100] และนายสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์

ภายหลังการพ้จากตำแหน่งของนายสมชาย ได้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ผลปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้รับคะแนนเสียงมากกว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก[101] ทำให้การเมืองพลิกขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้จัตตั้งรัฐบาลผสม จากเดิมที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลทักษิณ สมัครและสมชาย[102] ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบนักการเมืองเดิมจากพรรคพลังประชาชน รัฐบาลเก่า กลายเป็นฝ่ายค้านแทน โดยมีรายงานอย่างกว้างขวางว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก บีบบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชาชนย้ายมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์[103]

แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และวุฒิสภาสรรหาโดยคณะรัฐประหาร กล่าวว่า "เป็นชัยชนะที่แท้จริงของกลุ่มพันธมิตรฯ" และเป็น "รัฐประหารสไตล์อนุพงษ์"[104] นอกจากนี้ ผลของการขึ้นสู่อำนาจของนายอภิสิทธิ์ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชนชั้นสูงในกรุงเทพมหานคร กองทัพ และราชวัง[105]

การประท้วงและเหตุการณ์จลาจล เมษายน พ.ศ. 2552

กลุ่มนปช. บุกเข้าสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณแยกดินแดง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (13 เมษายน 2552)

ราวเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถ่ายทอดภาพมายังกลุ่มผู้สนับสนุน และกล่าวอ้างว่า ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และองคมนตรีบางท่าน คือ พล.อ.สุรยุทธ์ และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ได้ใช้อำนาจทหารค้ำตำแหน่งของนายอภิสิทธิ์ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้บุคคลดังกล่าวลาออกทั้งหมด[106][107]

เมื่อวันที่ 7 เมษายน รถของนายอภิสิทธิ์ถูกกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ทุบจนกระจกแตก แต่นายอภิสิทธิ์สามารถหลบหนีไปได้[108] ในวันต่อมา กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มการชุมนุมครั้งใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 100,000 คน และรวมตัวกันบริเวณทำเนียบรัฐบาลและรอยัลพลาซา[109] การชุมนุมดังกล่าวได้ขยายตัวไปยังพัทยา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกครั้งที่สี่ ในขณะที่เดินทางไปยังสถานที่ประชุมนั้น กลุ่มนปช. ได้มีการปะทะกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน[110] แต่ในที่สุด กลุ่มนปช. ก็สามารถบุกเข้าสถานที่ประชุม และทำให้การประชุมถูกยกเลิก[111] นายอภิสิทธิ์จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน[112] แต่ก็ได้ประกาศยกเลิกในวันเดียวกัน[113]

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การประท้วงเริ่มลุกลามใน เขตกรุงเทพมหานคร จนเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุน รัฐบาล และประชาชนผู้อยู่อาศัยทั่วไป จนนายอภิสิทธิ์ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรอบ อีกแห่งหนึ่ง[114] และมีการกล่าวหากลุ่มผู้ประท้วงว่าเป็น "ศัตรูของชาติ"[115] นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังออกพระราชกฤษฎีกาให้อำนาจแก่รัฐบาลในการเซ็นเซอร์การแพร่ภาพทางโทรทัศน์[116]

เมื่อวันที่ 12 เมษายน ได้มีการจับกุมแกนนำนปช. ซึ่งบุกสถานที่ประชุมการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก[117] เป็นวันเดียวกับที่กระทรวงมหาดไทย ได้ถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้ชุมนุม และทุบทำลายรถของนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีบางคนระหว่างเดินทางออก หลังจากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมได้กีดขวางบริเวณทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการที่สำคัญ ตามรายงานระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 คนระหว่างการชุมนุม[118]

วันที่ 13 เมษายน ทหารในเครื่องแบบเต็มชุดได้สลายการชุมนุมที่แยกดินแดง ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 70 คน[119] ส่วนทางกลุ่มนปช. ได้มีการกล่าวอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต 1 คน จากกระสุนปืนของทหาร ส่วนฝ่ายกองทัพได้ออกมาปฏิเสธ ในวันเดียวกันยังได้มีการปิดสถานีดีสเตชัน[120] และวิทยุชุมชนจำนวนมาก เนื่องจากต้องสงสัยว่าสนับสนุนกลุ่มนปช.[121] เหตุปะทะกันยังคงมีขึ้นในหลายจุดของกรุงเทพมหานคร และได้มีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำนปช. อีก 13 คน[122]

ในวันที่ 14 เมษายน แกนนำนปช. หลายคนยอมมอบตัว การชุมนุมจึงสงบลง[122] แม้ว่าผู้ชุมนุมบางส่วนจะยังคงชุมนุมกันต่อไป สถานการณ์ฉุกเฉินมีผลจนถึงวันที่ 24 เมษายน นายกรัฐมนตรีจึงประกาศยกเลิก[123]

สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ: รัฐบาลระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 120 คน ระหว่างการชุมนุม[124]; ในเวลาต่อมา ได้พบศพ นปช. 2 คน ลอยตามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทางตำรวจสรุปว่าเป็นการฆาตกรรมด้วยชนวนเหตุทางการเมือง[125]; กลุ่มนปช. กล่าวอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 คน แต่ศพได้ถูกฝ่ายทหารเอาไปซ่อน แต่ทางกองทัพปฏิเสธ[126]

เหตุการณ์ลอบยิงสนธิ

บาดแผลถูกยิงที่ขมับขวาและหน้าอกของนายสนธิ และ รถที่ถูกกระสุนยิง

แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกลอบยิงเมื่อเช้าวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552 โดยมือปืนได้ใช้อาวุธสงครามกราดยิงรถของนายสนธิกว่า 100 นัด นายสนธิและคนขับรถได้รับบาดเจ็บ[127] กลุ่มมือปืนดังกล่าวได้หลบหนีเมื่อผู้ติดตามของนายสนธิในรถอีกคันหนึ่งใช้ ปืนเปิดฉากยิงใส่ นายสนธิถูกกระสุนเข้าที่ศีรษะ ก่อนจะได้รับการผ่าตัดในเข้ารักษาที่โรงพยาบาล[128] นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายของนายสนธิ กล่าวประณามว่าว่ามีทหารหรือคนในรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว[129]

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว[130] และอ้างต่อไปว่าเขา นายอภิสิทธิ์ นายกรณ์ จาติกวาณิช รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตกเป็นเป้าหมายของแผนการลอบสังหารด้วยเช่นกัน[131]

สำหรับสาเหตุของการลอบยิงนั้น นายสนธิกล่าวว่า เพราะ "ผมไปเปิดโปงสุภาพสตรีคนหนึ่ง ซึ่งในภาพแสดงออกว่าเป็นคนใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท" แต่มิได้ระบุว่าเป็นผู้ใด[132]




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น